วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2556

recycle


ลิงเจ้าปัญญา

โรงแรมผี เป็นนวนิยายไทยแนวสยองขวัญ ระทึกขวัญและสืบสวน จากบทประพันธ์ของ อ.อรรถจินดา ตีพิมพ์ครั้งแรกเป็นตอนๆ ในนิตยสารผดุงศิลป์รายสัปดาห์ เมื่อราว 30 ปีก่อน ต่อมาพิมพ์รวมครั้งแรกและครั้งที่สอง โดยสำนักพิมพ์บรรณคาร ฉบับพิมพ์ครั้งที่สามในเดือนพฤษภาคม ปี พ.ศ. 2536 โดยสำนักพิมพ์อักษรกราฟิก นำมาจากฉบับรวมเล่มมาตีพิมพ์ ซึ่งมีความยาวขนาด 2 เล่มจบ ครั้งล่าสุด ฉบับพิมพ์ครั้งที่สี่ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี พ.ศ. 2553 โดยสำนักพิมพ์แสงดาว รูปแบบปกอ่อน[1] เนื่องในวาระครบรอบ 100 ปี ชาตกาลของ อ.อรรถจินดา
สร้างเป็นภาพยนตร์และละครทีวีหลายครั้งจนกล่าวกันว่า เมื่อพูดถึงนวนิยายแนวผีสางในบรรณพิภพวรรณกรรมของเมืองไทยแล้ว โรงแรมผี ของ อ.อรรถจินดา มักถูกเอ่ยถึงในลำดับต้นๆมาโดยตลอด

ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ทรงปรารภพระเทวทัต ผู้พยายามปลงพระชนม์พระองค์ ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพญาลิงมีรูปร่างใหญ่โตสวยงาม มีพละกำลังเท่าช้าง อาศัยอยู่ที่ราวป่า คุ้งแม่น้ำแห่งหนึ่ง ในแม่น้ำนั้นมีจระเข้สองผัวเมียอาศัยอยู่ วันหนึ่ง จระเข้ตัวเมียเห็นร่างกายของพญาลิงแล้วเกิดแพ้ท้องอยากกินหัวใจลิงตัวนั้น
     "พี่ช่วยนำมันมาให้น้องหน่อยนะจ๊ะ"
     สามีพูดว่า "น้องจ๋าเราเป็นสัตว์ในน้ำ ลิงเป็นสัตว์บนบก พี่จะจับลิงได้อย่างไรละจ๊ะ"
     เมียพูดด้วยความน้อยในว่า "พี่ต้องหาวิธีจับมันมาให้ได้ มิเช่นนั้นน้องขอตายดีกว่า"
     สามีจึงพูดปลอบใจว่า "น้องจ๋า อย่างเพิ่งตายเลยจ๊ะ พี่จะไปจับมันมาเดี๋ยวนี้ละจ๊ะ"
ว่าแล้วก็ไปหาพญาลิงที่กำลังลงมาดื่มน้ำที่ฝั่งพอดี ร้องถามขึ้นว่า "ท่านลิง ท่านกินแต่กล้วยที่ฝั่งนี้ไม่เบื่อรึไง ไม่คิดอยากจะข้ามไปกินผลไม้ฝั่งโน้นบ้างหรือ"
     ลิงตอบว่า "ท่านจระเข้ แม่น้ำนี้กว้างใหญ่ไพศาล เราจะข้ามไปได้อย่างไร"
     จระเข้ ได้ทีจึงเสนอตัวว่า "ถ้าท่านจะไปจริง ๆ ก็ขึ้นบนหลังของเราไปก็ได้ เราอาสาจะไปส่ง"
     ลิงเชื่อคำพูดของมันจึงได้กระโดดขึ้นบนหลังจระเข้ไป
     จระเข้พอพาลิงไปถึงกลางแม่น้ำก็มุดลงดำน้ำ ลิงร้องถามว่า "ท่านแกล้งเรา จะให้เราจมน้ำตายรึไง"
     จระเข้ตอบว่า "เรามิได้คิดอาสาจะพาท่านไปฝั่งโน้นจริง ๆ หรอก เมียเราแพ้ท้องอยากกินหัวใจท่าน เราจะพาท่านไปให้เมียเรากินต่างหาก"
     ลิงพูดขึ้นด้วยเล่ห์ว่า "เพื่อนเอ๋ย ท่านบอกมาก็ดีแล้ว หากหัวใจอยู่ในท้องเราเมื่อกระโดดไปมาบนต้นไม้ หัวใจเราก็แหลกหมดนะสิ หัวใจไม่ได้อยู่กับเรา"
     จระเข้หลงกลถามไปว่า "แล้วท่านเอาหัวใจไปไว้ที่ไหนละ"
     ลิงจึงชี้ไปที่ต้นมะเดื่อต้นหนึ่งที่ไม่ไกลนักมีผลสุกเป็นพวงอยู่ พร้อมกับพูดว่า "นั่นไง หัวใจของเราแขวนอยู่ที่ต้นมะเดื่อนั่นไง"
     จระเข้พูดว่า "หากท่านให้หัวใจแก่เรา เราจะไม่ฆ่าท่าน"
     ลิงพูดว่า "ถ้าเช่นนั้นท่านพาเราไปที่นั้นสิ เราจะให้หัวใจแก่ท่าน"
จระเข้จึงพาลิงไปส่งที่ต้นมะเดื่อนั้น ลิงกระโดดขึ้นต้นมะเดื่อไปแล้ว พร้อมกับพูดว่า
     "เจ้าจระเข้หน้าโง่ หัวใจสัตว์ตัวไหนจะอยู่บนยอดไม้ เจ้าใหญ่แต่ตัวเสียเปล่า หามีปัญญาไม่" แล้วกล่าวเป็นคาถาว่า
     "เราไม่ต้องการด้วยผลมะม่วง ผลหว้า และผลขนุนที่ท่านเห็นฝั่งสมุทรโน้น ผลมะเดื่อของเราต้นนี้ดีกว่าร่างกายของท่านใหญ่โตเสียเปล่าแต่ปัญญาไม่สมกับร่างกายเลย จระเข้..ถูกเราลวงแล้วนัดนี้เจ้าจงไปตามสบายเถิด"
จระเข้พอทราบว่าหลงกลลิงแล้วก็เป็นทุกข์เสียใจซึมเซาเหมือนกับเสียพนัน มุดกลับยังถิ่นที่อยู่ของตนตามเดิม



ประวัติส่วนตัว    ชื่อ อนุชา กองสมบัติ ม.4/1 เกิด 5 พ.ย40  เป็นคนร่าเริงอารมดี ชอบกินนม



  
เต่าชอบโอ้อวด


ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุสหายกันสองรูปที่มักเถียงกันว่า ใครรูปหล่อกว่ากัน ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นรุกขเทวดาประจำอยู่ต้นไม้ อยู่ที่ฝั่งแม่น้ำคงคา สมัยนั้นมีปลาอยู่ ๒ ตัว ตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในแม่น้ำคงคา อีกตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในแม่น้ำยมุนา ปลาทั้ง ๒ ตัวเมื่อว่ายมาเจอกันที่แม่น้ำทั้ง ๒ สายมาบรรจบกันตรงที่ต้นไม้นั้นอยู่ก็มักจะทุ่มเถียงกันว่าใครงามกว่ากันเสมอ ต่างก็ว่าตัวเองนั้นงามกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง ตกลงกันไม่ได้สักที จึงพากันไปหาเต่าตัวหนึ่งเป็นผู้ตัดสินให้ว่าใครงามกว่ากัน
     "ท่านเต่าผู้น่ารัก ขอท่านช่วยตัดสินให้พวกข้าพเจ้าเสียทีว่าใครงามกว่ากัน"
     เต่าตัดสินว่า "ท่านปลาทั้งสอง ท่านที่มีอยู่แม่น้ำคงคาก็งามดีไม่มีที่ติ ท่านที่อยู่แม่น้ำยมุนาก็งามดีไม่มีที่ติ แต่โดยรวมแล้วเรางามกว่าพวกท่านทั้งสองอยู่ดี"
     ปลาทั้ง ๒ ตัวฟังคำตัดสินของเต่าแล้วก็ด่ามันกว่า "เจ้าเต่าชั่ว เจ้าไม่ตอบคำถามของพวกเรากลับตอบไปอย่างอื่น" แล้วก็กล่าวเป็นคาถาว่า
      "ท่านไม่ตอบเรื่องที่เราถาม เราถามอย่างหนึ่ง ท่านกลับตอบเสียงอีกอย่างหนึ่ง คนที่ยกย่องตนอง พวกเราไม่ชอบใจเลย"
ว่าแล้วปลาทั้ง ๒ ตัวก็พ่นน้ำใส่เต่านั้น เต่ากลับไปที่อยู่ของตนตามเดิม เทวดาโพธิสัตว์เห็นเหตุการณ์นั้นโดยตลอดได้แต่ให้เสียงสาธุการ
  
พระปริตป้องกันสัตว์ร้าย


ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุรูปหนึ่ง มรณภาพเพราะถูกงูกัด ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธการ ว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นฤาษีบำเพ็ญสมาบัติอยู่ที่คุ้งแม่น้ำแห่งหนึ่งในป่าหิมพานต์ มีฤาษีหลายร้อยตนเป็นบริวาร ณ ที่ฝั่งแม่น้ำนั้น มีงูนานาชนิดอาศัยอยู่ งูได้กัดฤาษีเสียชีวิตไปหลายตน พระโพธิสัตว์ทราบเรื่องนั้นแล้วจึงพูดให้โอวาทคณะฤาษีว่า
     "ท่านทั้งหลาย..หากพวกท่านเจริญเมตตาให้ตระกูลพญางูทั้ง ๔ งูทั้งหลายก็จะไม่กัดพวกท่านหรอก" แล้วกล่าวคาถาว่า

     "ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับตระกูลพญางูวิรูปักขะ       ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับตระกูลพญางูเอราปถะ       ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับตระกูลพญางูฉัพยาปุตตะ       ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับตระกูลพญางูกัณหาโคตมะ"
และกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า
     "ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับสัตว์ที่ไม่มีเท้า ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับสัตว์ ๒ เท้า ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับสัตว์ ๔ เท้า ขอไมตรีจิตของเรา จงมีกับสัตว์ที่มีเท้ามาก"
พระโพธิสัตว์เมื่อจะแสดงธรรมด้วยการขอร้อง ได้กล่าวคาถาว่า
     "ขอสัตว์ที่ไม่มีเท้า สัตว์ที่มี ๒ เท้า สัตว์ที่มี ๔ เท้า สัตว์ที่มีเท้ามาก อย่าได้เบียดเบียนเราเลย"
เมื่อจะแสดงการเจริญเมตตาโดยไม่เจาะจงได้กล่าวคาถาว่า
     "ทั้งมวลจงพบกับความเจริญ ความชั่วช้าอย่าได้มาแผ้วพานสัตว์ตนใดตนหนึ่งเลย"
เพื่อระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย จึงพูดว่า
     "พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีพระคุณหาประมาณมิได้บรรดาสัตว์เลื้อยคลาน คือ งู แมลงป่อง ตะขาบ แมลงมุม ตุ๊กแกและหนู มีคุณหาประมาณได้"
เพื่อแสดงกรรมที่ควรทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านั้น ได้กล่าวคาถาว่า
     "เราได้ทำการรักษา ทำการป้องกันไว้แล้ว ขอสัตว์ทั้งหลายผู้มีชีวิตจงพากันหลีกไป ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอนอบน้อมพระสัมพุทธเจ้าทั้ง ๗ พระองค์"
ตั้งแต่นั้นมา คณะฤาษีได้เจริญเมตตารำลึกถึงพระพุทธคุณงูทั้งหลายต่างก็หลบหนีไปอยู่ที่อื่น
   
ฤาษีกินเหี้ย


   ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุผู้หลอกลวงรูปหนึ่ง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า...
   กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีดาบสผู้มีตบะกล้าตนหนึ่ง เป็นที่เคารพศรัทธาของชาวบ้าน จึงได้สร้างศาลาไว้ให้ที่ชายป่าแห่งหนึ่งใกล้บ้าน ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ได้เกิดเป็นเหี้ยตัวหนึ่ง อาศัยอยู่ที่จอมปลวกแห่งหนึ่ง ใกล้ที่จงกรมของดาบสนั้น มันจะไปหาดาบสวันละสามครั้งเป็นประจำทุกวัน เพื่อฟังธรรม ไหว้ดาบสแล้ว จึงกลับไปอยู่ที่อยู่ของตน
   ต่อมาไม่นาน ดาบสนั้น ได้อำลาชาวบ้านไปที่อื่น ได้มีดาบสโกงตนหนึ่ง เข้ามาอาศัยในศาลานั้นแทน เหี้ยพระโพธิสัตว์ก็คิดว่า แม้ท่านผู้นี้ก็ทรงศีลเหมือนกัน จึงไปหาดาบสนั้นเช่นเดิม
   อยู่มาวันหนึ่ง ฝนได้ตกมาในฤดูแล้ง ฝูงแมลงเม่าได้พากันบินออกจากจอมปลวกเป็นจำนวนมาก ฝูงเหี้ยก็ได้ออกมากินแมลงเม่าเหล่านั้น พวกชาวบ้านพากันออกมาจับเหี้ยแล้วปรุงเป็นอาหาร รสอร่อยนำมาถวายดาบส ดาบสได้ฉันเนื้อนั้นแล้วติดใจในรส เมื่อทราบว่าเป็นเนื้อเหี้ย จึงคิดได้ว่า
     " มีเหี้ยใหญ่ตัวหนึ่งมาหาเราเป็นประจำ เราจะฆ่ามันกินเนื้อ "
จึงให้ชาวบ้านเอาเครื่องปรุงมาไว้ให้ ได้นั่งถือค้อนห่มคลุมผ้าอยู่ที่ประตูศาลา
   เย็นวันนั้น เหี้ยโพธิสัตว์ ได้ไปหาดาบสตามปกติ ได้เห็นท่านั่งที่แปลกของดาบส คิดว่า " วันนี้ดาบส นั่งท่าที่ไม่เหมือนวันก่อน นั่งชำเลืองเราเป็นประจำ " จึงไปยืนดูอยู่ใต้ทิศทางลม ได้กลิ่นเนื้อเหี้ย จึงทราบว่า " ดาบสโกงนี้ คงฉันเนื้อเหี้ย ติดใจในรสแล้ว คราวนี้ หวังจะตีเรา เอาเนื้อไปแกงเป็นอาหารแน่ๆ " จึงไม่ยอมเข้าไปใกล้ ถอยกลับแล้ววิ่งหนีไป
   ฝ่ายดาบสโกงทราบว่าเหี้ยรู้ตัวไม่ยอมมาแล้ว จึงลุกขึ้นขว้างค้อนตามหลังไป ค้อนได้ถูกเพียงหางเหี้ยเท่านั้น เหี้ยได้หลบเข้าไปในจอมปลวกอย่างรวดเร็ว โผล่เพียงศีรษะออกมาเท่านั้น กล่าวติเตียนดาบสด้วยคาถานี้ว่า
     " นี่เจ้าผู้โง่เขลา จะมีประโยชน์อะไรแก่เจ้า ด้วยชฎาและการนุ่งห่มหนังเสือเหลือง
       ภายในของเจ้าแสนจะรกรุงรัง เจ้าดีแต่ขัดสีภายนอกเท่านั้น "
                                
การร่วมมือกัน


ในสมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภพระเทวทัตผู้พยายามปลงพระชนม์พระองค์ ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นกวางตัวหนึ่ง อาศัยอยู่ในป่าละเมาะแห่งหนึ่ง ในที่ไม่ไกลจากนั้นมีสระน้ำสระหนึ่ง เต่าตัวหนึ่งอาศัยอยู่ และใกล้ ๆ สระน้ำนั้นมีนกสตปัตตะทำรังอยู่ สัตว์ทั้ง ๓ เป็นเพื่อนรักกันมาก วันหนึ่งกวางออกหากินได้ติดบ่วงนายพรานตอนเที่ยงคืนจึงร้องเรียกให้เพื่อนมาช่วย เต่าและนกสตปัตตะมาเห็นแล่วตกลงกันว่าให้เต่าใช้ปากกัดบ่วงให้ขาดก่อนฟ้าสว่าง ส่วนนกพยายามไม่ให้นายพรานออกจากบ้านก่อนสว่างเช่นกัน เมื่อตกลงกันตามนั้นนกสตปัตตะจึงพูดเตือนเต่าว่า "เต่าเพื่อนรัก ท่านต้องรีบกัดบ่วงให้ขาดเร็ว ๆ นะ เราจักหาวิธีไม่ให้นายพรานมาถึงที่นี่เร็วได้" ว่าแล้วก็บินไป
ฝ่ายเต่าได้เริ่มแทะเชือกบ่วกนั้นทันที ส่วนนกสตปัตตะได้บินไปจับที่ต้นไม้หน้าบ้านนายพราน พอถึงเวลาตี ๕ นายพรานลุกขึ้นเดินถือหอกออกมาทางประตูหน้าบ้าน นกเห็นเช่นนั้นก็บินโฉบลงไปจิกนายพราน เขาถูกนกจิกไปหลายทีจึงคิดว่าเราถูกนกกาฬกรรณีจิกแล้ว โชคไม่ดีเลยเวลานี้ กลับเข้าไปนอนต่ออีกสักหน่อยดีกว่า"
เวลาผ่านไปเล็กน้อยนายพรานได้เปลี่ยนไปออกทางประตูหลังบ้าน นกสตปัตตะก็ไปดักที่ประตูหลังบ้านเช่นกัน เขาถูกนกจิกอีกเป็นครั้งที่ ๒ จึงกลับเข้าบ้านไปพร้อมกับบ่นว่า "นกบ้านี่ร้ายจริง ๆ ไว้ให้สว่างก่อนค่อยไปก็ได้วะ"
พอสว่างแล้ว นายพรานเดินถือหอกออกจากบ้านไป นกสตปัตตะได้บินไปบอกกวางและเต่าล่วงหน้าแล้ว ปรากฏว่าเต่าแทะเชือกบ่วงทั้งคืนจนปากระบมเปื้อนไปด้วยเลือดยังเหลือเชือกเกลียวเดียวก็จะขาด กวางจึงใช้กำลังดิ้นให้เชือกขาดหลุดหนีเข้าป่าไปได้อย่างหวุดหวิด ปล่อยให้เต่านอนหมดแรงอยู่ตรงนั้น นายพรานมาเห็นเฉพาะเต่านอนอยู่จึงใส่กระสอบแขวนเต่าเอาไว้บนกิ่งไม้ กวางได้ปรากฎตัวให้นายพรานเห็นแล้วล่อให้นายพรานวิ่งตามไปจนไกลลิบ แล้ววิ่งย้อนกลับคืนมาช่วยเต่า โดยใช้เขายกกระสอบลงมาแล้วกล่าวขอบคุณเต่าและนกสตปัตตะที่ได้ช่วยเหลือชีวิต และต่างคนต่างแยกย้ายกันหลบซ่อนและหาที่อยู่ใหม่เพื่อความปลอดภัย เต่าได้หนีลงน้ำ กวางหนีเข้าป่าลึก ส่วนนกสตปัตตะไปถึงต้นไม้แล้วก็พาลูก ๆ ไปอยู่ในทีห่างไกล
นายพรานกลับมาถึงที่นั้นอีกไม่เห็นเต่าในกระสอบ ก็ได้แต่ถือกระสอบขาดกลับบ้านไป สัตว์ทั้ง ๓ ได้เป็นเพื่อนรักกัน

สุนัขจิ้งจอกอยากเป็นผู้นำ


   ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ ทรงปรารภพระเทวทัต ผู้แสดงท่าทางอย่างพระองค์ ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า...
   กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นราชสีห์ อาศัยอยู่ในถ้ำทอง ในป่าหิมพานต์ วันหนึ่ง ออกจากถ้ำทอง ไปหาอาหาร ได้กระบือใหญ่ ตัวหนึ่ง กินเนื้อแล้ว ไปดื่มน้ำที่สระแห่งหนึ่ง ในขณะที่เดินกลับถ้ำ ได้พบสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งในระหว่างทาง สุนัขจิ้งจอกจึงขออาสาเป็นผู้รับใช้ราชสีห์ด้วยความกลัวตาย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาสุนัขจิ้งจอกก็ได้กินเนื้อเดนราชสีห์อย่างอิ่มหนำสำราญ มันมีหน้าที่ขึ้นยอดเขาไปดูสัตว์ที่จะเป็นอาหาร แล้วกลับลงมาบอกพระยาราชสีห์ว่า " ข้าพเจ้า อยากกินเนื้ออย่างโน้น นายท่าน จงแผดเสียงเถิด " พระยาราชสีห์ก็จะไปจับสัตว์ตัวนั้นมาเป็นอาหาร ไม่ว่าจะเป็นเนื้อนานาชนิดหรือแม้กระทั่งช้าง
   ครั้นเวลาผ่านไปหลายปี สุนัขจิ้งจอก ชักกำเริบเกิดความคิดว่า " แม้ตัวเรา ก็เป็นสัตว์ มี ๔ เท้าเหมือนกัน เหตุใด จะให้ผู้อื่นเลี้ยงอยู่ทุกวันเล่า นับแต่นี้เป็นต้นไป เราจะฆ่าช้างเป็นอาหารกินเนื้อเอง แม้แต่ ราชสีห์ก็เพราะอาศัยเราบอกว่านายขอรับ เชิญท่านแผดเสียงเถิด เท่านั้น ก็จึงฆ่าสัตว์ต่างๆได้ ต่อแต่นี้ เราจะให้ราชสีห์พูดกับเราบ้าง " ได้เข้าไปหาราชสีห์แล้วบอกเรื่องนั้น
   แม้ถูกพระยาราชสีห์พูดเยาะเย้ยว่า " เป็นไปไม่ได้ " ก็ตามคงเซ้าซี้อยู่นั่นเอง พระราชสีห์เมื่อไม่อาจห้ามมันได้ ก็รับคำให้สุนัขจิ้งจอกนอนในที่นอนของตน แล้วไปคอยดูช้างตกมันที่เชิงเขาพบแล้ว ก็กลับเข้ามาบอกสุนัขจิ้งจอกว่า " จิ้งจอกเอ๋ย เชิญแผดเสียงเถิด "
   สุนัขจิ้งจอก ออกจากถ้ำทอง สลัดกาย มองทิศทั้ง ๔ หอนขึ้นสามคาบ วิ่งกระโดดเข้างับช้างหวังที่ก้านคอช้าง กลับพลาดไปตกที่ใกล้เท้าช้าง ช้างจึงยกเท้าขวาขึ้นไปเหยียบหัวจิ้งจอก จนหัวกะโหลกแตกเป็นจุน แล้วเอาเท้าคลึงร่างของมันทำเป็นกองไว้แล้วเยี่ยวรดข้างบน ร้องกัมปนาทเข้าป่าไป พญาราชสีห์เห็นเช่นนั้นแล้ว จึงกล่าวคาถานี้ว่า
     " มันสมองของเจ้าทะลักออกมา กระหม่อมของเจ้าก็ถูกทำลาย
       ซี่โครงของเจ้า ก็หักหมดแล้ว วันนี้ เจ้าช่างรุ่งโรจน์เหลือเกิน "
โรงแรมผี เป็นนวนิยายไทยแนวสยองขวัญ ระทึกขวัญและสืบสวน จากบทประพันธ์ของ อ.อรรถจินดา ตีพิมพ์ครั้งแรกเป็นตอนๆ ในนิตยสารผดุงศิลป์รายสัปดาห์ เมื่อราว 30 ปีก่อน ต่อมาพิมพ์รวมครั้งแรกและครั้งที่สอง โดยสำนักพิมพ์บรรณคาร ฉบับพิมพ์ครั้งที่สามในเดือนพฤษภาคม ปี พ.ศ. 2536 โดยสำนักพิมพ์อักษรกราฟิก นำมาจากฉบับรวมเล่มมาตีพิมพ์ ซึ่งมีความยาวขนาด 2 เล่มจบ ครั้งล่าสุด ฉบับพิมพ์ครั้งที่สี่ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี พ.ศ. 2553 โดยสำนักพิมพ์แสงดาว รูปแบบปกอ่อน[1] เนื่องในวาระครบรอบ 100 ปี ชาตกาลของ อ.อรรถจินดา
สร้างเป็นภาพยนตร์และละครทีวีหลายครั้งจนกล่าวกันว่า เมื่อพูดถึงนวนิยายแนวผีสางในบรรณพิภพวรรณกรรมของเมืองไทยแล้ว โรงแรมผี ของ อ.อรรถจินดา มักถูกเอ่ยถึงในลำดับต้นๆมาโดยตลอด 
    

                              


มาทำความรู้จักลูกครึ่งไทย-อังกฤษ ที่เคยรับบท “น้อยหน่า” ในละคร "หนุ่มบ้านไร่กับหวานใจไฮโซ" เมื่อปีที่แล้ว มาวันนี้น้อง “แพทริเซีย ธัญชนก กู๊ด” หรือ “แพท” ได้ก้าวเข้ามาเป็นนางเอกละครเต็มตัวกับวัยเพียงแค่ 15 ปี แสดงนำคู่กับพระเอก "ยุกต์ ส่งไพศาล" ในเรื่อง "แค้นเสน่หา” น้องแพทเกิดเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2540 เป็นลูกครึ่งไทย-อังกฤษ พ่อเป็นชาวอังกฤษ และแม่เป็นชาวไทย มีน้องชาย 1 คนอายุห่างกัน 5 ปี เกิดและเจริญเติบโตที่จังหวัดภูเก็ต แต่ย้ายเข้ามาอยู่ในกรุงเทพมหานครตั้งแต่อายุ 8 ปี น้องแพทเข้าสู่วงการเมื่อเพื่อนสนิทของมารดาซึ่งรู้จักกับจันจิรา จูแจ้ง ได้ชักชวนให้เข้ามาคัดเลือกเป็นนักแสดง ก่อนหน้าที่จะมาเล่นละคร ผลงานชิ้นแรกๆ เลยก็คืองานถ่ายแบบให้นิตยสาร และได้โฆษณาตามมา ปัจจุบันกำลังเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา ที่ โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี่ (Shrewsbury International School) วันนี้ Sanook!Campus มีรูปน่ารักๆ ของน้องแพทมาให้ดูกันด้วยค่ะ (หน้าคล้ายวิกกี้ สุนิสา เจทท์ มากๆ) ยังไงก็อย่าลืมติดตามผลงานน้องและเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ

                      แพทริเซีย กู๊ด



แค้นเสน่หา                                     

 ประวัติแพทริเซีย กู๊ด หรือ แพทริเซีย ธัญชนก กู๊ด นางเอกวัยใส จากละคร แค้นเสน่หา น่ารักสุด ๆ            ช่วงนี้ใครที่เป็นแฟนละครแนวพีเรียดเข้มข้น คงจะไม่พลาดชมละคร แค้นเสน่หา ทางช่อง 3 ที่รวบรวมนักแสดงคุณภาพทั้งรุ่นใหญ่และรุ่นเล็ก มาประชันฝีมือกันเป็นแน่ ก็ละครเรื่องนี้มีทั้งนักแสดงคุณภาพดีกรีผู้จัดและผู้กำกับอย่าง แดง ธัญญา และนก ฉัตรชัย มาประชันบทบาท พร้อมนางเอกรุ่นใหญ่อย่าง แหม่ม จินตหรา และหมิว ลลิตา ที่ต่างก็ปล่อยของกันแบบจัดเต็ม ทำเอาผู้ชมคอยลุ้นติดหน้าจอ แถมอินไปกับละครเรื่องนี้กันทั่วบ้านทั่วเมืองไปเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ละครออนแอร์ไปได้เพียงไม่กี่ตอน ซึ่งหลายคนก็ตั้งหน้าตั้งตาลุ้นว่า เรื่องราวในรุ่นลูก จะถูกถ่ายทอดออกมาได้น่าติดตามแบบรุ่นใหญ่หรือไม่
            งานนี้หนึ่งในนักแสดงที่ถูกจับตามองมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นคู่พระนางของเรื่อง ซึ่งสำหรับพระเอกหนุ่ม สน ยุกต์ ที่มีผลงานแสดงมาแล้วมากมาย คงไม่น่าห่วงเท่าใดนัก หลายคนจึงพุ่งเป้าไปที่นางเอกสาวหน้าใส แพทริเซีย ธัญชนก กู๊ด ผู้รับบท รุ้ง นางเอกของเรื่อง เนื่องจากเธอเป็นนักแสดงหน้าใหม่ ที่เพิ่งจะเคยมีผลงานละครเพียงเรื่องเดียว กับบท น้อยหน่า สาววัยใสในละคร หนุ่มบ้านไร่กับหวานใจไฮโซ เท่านั้น ซึ่งเรื่องฝีมือการแสดงของสาวคนนี้ ก็คงต้องรอดูกันต่อไป แต่หากจะพูดถึงดีกรีความน่ารัก สดใสของเธอแล้ว คงไม่มีใครปฏิเสธได้ลง เนื่องจากสาวคนนี้ เคยทำให้ 3 พระเอกดังของช่องอย่าง บอย ปกรณ์, หมาก ปริญ และเคน ภูภูมิ เปิดศึกชิงนางกันผ่านอินสตาแกรมมาแล้ว แต่แฟน ๆ อย่าเพิ่งตกใจไปนะจ๊ะ เพราะหนุ่ม ๆ เขาแค่แซวกันเล่น ๆ เวลามีรุ่นน้องนักแสดงหน้าใหม่เข้ามาเท่านั้นเองจ้า

            งานนี้กระปุกดอทคอม ก็นำประวัติของสาว แพทริเซีย กู๊ด มาฝากแฟน ๆ กันด้วยล่ะค่ะ โดยสาวน้อยคนนี้ มีชื่อเต็มว่า แพทริเซีย ธัญชนก กู๊ด ชื่อเล่น แพท เป็นลูกครึ่ง ไทย-อังกฤษ อายุอานามก็เพิ่งจะ 15 ย่าง 16 ปีเท่านั้นเอง เธอเกิดเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2540 เริ่มเข้าวงการตั้งแต่การถ่ายโฆษณา ถ่ายแบบ ก่อนที่ความน่ารักสดใสของเธอคนนี้จะเข้าตาผู้จัด จนได้ชิมลางงานละครเรื่องแรกใน หนุ่มบ้านไร่กับหวานใจไฮโซ ซึ่งกระแสตอบรับของเธอก็ค่อนข้างดีมากทีเดียว แถมแฟน ๆ ยังชมว่า สาวน้อยคนนี้ น่ารักเหมือน ญาญ่า หรือเทย่าตอนอายุน้อย ๆ บ้างก็ว่าหน้าหวานเหมือนวิกกี้ เชื่อว่าเมื่อสาวคนนี้โตขึ้นอีกหน่อย ดีกรีความสวยของเธอคงจะยิ่งโดนใจหนุ่ม ๆ แน่นอนเลยล่ะ


                                                                



         
                                                                          



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น