"การป้องกันการเป็นงูสวัดก็คือ การรักษาสุขภาวะของร่างกายให้แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ"
โรคงูสวัด เป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่พบได้บ้างในประเทศไทย มีสาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัส ชื่อ Varicella zoster virus หรือเรียกย่อ ๆ ว่า VZV เชื้อชนิดนี้ทำให้เกิดโรคในคนได้ 2 โรค คือ โรคอีสุกอีใส และโรคงูสวัด
ครั้งแรกเป็น "อีสุกอีใส"
เมื่อร่างกายของเราได้สัมผัสเชื้อไวรัสชนิดนี้ในครั้งแรก มักจะมีอาการไข้ ตัวร้อนมาก่อนสัก 2-3 วันแล้วจึงเริ่มมีตุ่มน้ำใสเต่ง ๆ รูปร่างของตุ่มน้ำใสจะคล้ายหยดน้ำบนใบบัว ขึ้นกระจายทั่วตัว และขึ้นเป็นรุ่น ๆ เป็นระลอก ๆ หลายรุ่น เมื่อเราสังเกตช่วงใดช่วงหนึ่งของโรคนี้จะพบเห็น "ตุ่มสุก ตุ่มใส" (ตุ่มน้ำใสทั้งที่เพิ่งเริ่มเป็น และตุ่มน้ำใสที่เต่งเต็มที่แล้ว) กระจายอยู่ทั้งร่างกาย ชาวบ้านจึงเรียกโรคนี้ว่า "โรคอีสุกอีใส" (ปัจจุบันบางคนมีความเห็นว่า "อี" เป็นคำที่ไม่สุภาพ จึงตัดคำว่า "อี" ออกเสีย และเรียกโรคนี้ว่า "โรคสุกใส")

เชื้อไวรัส VZV นี้เมื่อเริ่มเข้าสู่ร่างกาย ทำให้เป็นโรคอีสุกอีใส ซึ่งมักเกิดในเด็ก และจะหายได้เอง ภายใน 1-2 สัปดาห์ เมื่อหายจากโรคอีสุกอีใสแล้ว เชื้อไวรัสชนิดนี้จะไปหลบซ่อนอยู่ในปมประสาทของร่างกาย และรอเวลาที่เหมาะสมกับการเพิ่มจำนวนของไวรัส หรือเวลาที่ร่างกายอ่อนเพลีย ภูมิคุ้มกันลดลง อดนอน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัสส่วนใหญ่จะใช้เวลานานเป็นสิบ ๆ ปี หลังจากที่เป็นโรคอีสุกอีใสแล้ว และพบมากในผู้สูงอายุ เพราะผู้สูงอายุ บางคนจะมีภูมิต้านทานลดต่ำลงหรืออ่อนแอลง
เมื่อร่างกายอ่อนเพลีย ไวรัสที่หลบอยู่ ณ ปมประสาทก็จะกลับออกมาเพิ่มจำนวนอีกครั้งหนึ่ง ในครั้งนี้จะแสดงอาการของ "โรคงูสวัด"
ดังนั้น งูสวัด จึงมีสาเหตุของโรคเกิดจากเชื้อไวรัส VZV ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสชนิดเดียวกันกับที่ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใส เพียงแต่ว่าเมื่อเป็นครั้งแรกจะเป็น "โรคอีสุกอีใส" แต่เมื่อกลับมาเป็นอีก จะเป็น "โรคงูสวัด" นั่นเอง (การใช้ยารักษาก็เป็นเช่นเดียวกัน)

ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่าผู้ที่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสแล้ว จะมีเชื้อไวรัส VZV สะสมหลบซ่อนอยู่ในร่างกาย พร้อมทั้งคอยรอเวลาว่าเมื่อใดที่ร่างกายของเราอ่อนเพลีย หรือมีภูมิคุ้มกันโรคลดต่ำลง เชื้อไวรัสชนิดนี้จะฉวยโอกาสออกมาเพิ่มจำนวนอีกครั้งหนึ่ง ทำให้เกิดเป็นงูสวัดได้
ดังนั้นวิธีง่าย ๆ ในการป้องกันการเป็นงูสวัด ก็คือการรักษาสุขภาวะที่ดีของร่างกายให้แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ และมีภูมิต้านทานโรคที่ดี เชื้อไวรัสก็จะไม่ออกมาเพิ่มจำนวน และแสดงอาการของโรคอีกได้

อาการของโรคงูสวัด แบ่งได้เป็น 3 ระยะ ดังนี้




เนื่องจากรอยโรคของงูสวัด ส่วนใหญ่จะเป็นตุ่มน้ำใสเต่ง ๆ เรียงเป็นกลุ่ม ๆ เป็นแนวยาวตามเส้นประสาทซีกใดซีกหนึ่งของร่างกายเท่านั้น จากประสบการณ์กว่า 20 ปี ยังไม่เคยพบผู้ที่เป็นงูสวัดทั้ง 2 ด้านของร่างกายเลย (ยกเว้นในผู้ป่วยที่มีอาการอ่อนเพลียมาก ๆ หรือผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เมื่อเป็นงูสวัดแล้ว โรคจะลุกลามมากกว่าปกติ และเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้)
ผู้ป่วยทั่วไปที่เป็นงูสวัดมักจะหายได้เอง เพราะภูมิคุ้มกันของร่างกายเมื่อพบว่า ไวรัสมารุกราน ก็จะเริ่มกระบวนการทำงานและจัดการกับเชื้อไวรัสได้ในที่สุด จึงไม่เคยพบงูสวัดชนิดที่เป็น 2 ด้าน หรือพันรอบเอว
นอกจากนี้ ผู้ที่เป็นงูสวัดก็จะหายเองเป็นปกติ แต่ต้องใช้เวลา 2 สัปดาห์ และไม่เคยพบคนตายจากงูสวัดเลย
สรุป "งูสวัด...ถ้าพันรอบเอวจะตาย...จริงหรือ?" เป็นความเชื่อ...แต่ไม่เป็นความจริง

ปัจจุบันมียาต้านไวรัสชื่อ อะซัยโคลเวียร์ (acyclovir) ซึ่งมีการใช้ยานี้มากว่า 20 ปีแล้ว เป็นยาที่ได้ผลดี "โรคงูสวัดมีสาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัส ชื่อ Varicella zoster virus หรือเรียกย่อ ๆ ว่า VZV" เป็นที่ยอมรับในวงการแพทย์ โดยมีฤทธิ์ยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัส VZV จึงได้ผลดีทั้งผู้ป่วยโรคงูสวัดและอีสุกอีใส (รวมถึงโรคเริมด้วย) มีทั้งรูปแบบยาเม็ดยาแคปซูล ยาทา และยาฉีด
แต่ยานี้เป็นยาที่แปลกกว่ายาอื่นในแง่วิธีใช้ เพราะยาชนิดนี้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้น้อย แถมมีระยะเวลาออกฤทธิ์ในร่างกายสั้น จึงมีวิธีใช้ที่มีความถี่มากกว่ายาทั่วไป ในผู้ใหญ่ที่เป็นโรคงูสวัดและอีสุกอีใส ควรได้รับยาเม็ดในขนาด 800 มิลลิกรัม กินวันละ 5 ครั้งทุก 4 ชั่วโมง (ยกเว้นเวลากลางคืน) และควรใช้ติดต่อกันนาน 7-10 วัน
นอกจากยาชนิดกินแล้ว ยังมีอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง อาจให้ยาแก่ผู้ป่วยในรูปแบบของยาฉีดเข้าหลอดเลือดดำโดยตรง ขนาดครั้งละ 500 มิลลิกรัม หยดเข้าสู่หลอดเลือดดำวันละ 5 ครั้ง และควรใช้ติดต่อกันนาน 7-10 วันเช่นกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น